วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

5 ความไทย ที่ทำให้ภาษาอังกฤษของคุณไม่ประสบความสำเร็จเสียที

กลับมาต่อกัน สำหรับประเด็นโลกแตกที่ว่า ทำไมเรียนภาษาอังกฤษมาเป็นสิบๆปีถึงพูดไม่ได้ ประเด็นหลักๆที่อยากจะพูดถึงในวันนี้เป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียว มันเป็นคำตอบ เป็นบทสรุปของปัญหานี้ ถ้าเราแก้ได้ เราก็จะหลุดพ้นจากบ่วงกรรม 5555



1. ปากคนไทย

อันนี้เรื่องจริงไม่อิงนิยาย คนไทยจำนวนมากมีนิสัยชอบแขวะกันเอง หรือชอบดูถูกความคิดความสามารถของผู้อื่น ถามหน่อย

คุณเคยมั้ย พูดอังกฤษออกไปแล้วเขาหัวเราะเยาะ?
คุณเคยมั้ย พูดอังกฤษออกไปแล้วเขาบอกว่าสำเนียงคุณตลก?
คุณเคยมั้ย พูดอังกฤษออกไปแล้วเขาบอกว่าคุณกระแดะ?
คุณเคยมั้ย พูดอังกฤษออกไปแล้วเขาเถียง ว่าคำที่คุณใช้นั้นไม่ถูกต้อง ทั้งที่คุณก็ไม่ได้ผิด?
คุณเคยมั้ย ที่พอคุณจะพูดอังกฤษได้บ้างแล้ว ก็จะมีคนมาลองภูมิ?

ฯลฯ  ก็นั่นล่ะฮะท่านผู้ชม



เราเชื่อว่าหลายๆคนคงเคยประสบชะตากรรมเดียวกันมา เราอยู่ในสังคมแบบนี้ก็ต้องเจอคนแบบนี้ล่ะ หน้าที่ของเราคือ "เมินซะ" พูดง่ายแต่ทำยาก แต่เราก็ต้องทำเพื่อความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่รอคอยเราอยู่ เราต้องมีภูมิต้านทานเพื่อไปให้ถึงวันนั้น คิดไว้แต่เพียงว่า ถ้าวันหนึ่งเราสำเร็จ พูดภาษาอังกฤษคล่องเป็นต่อยหอย คุณเชื่อมั้ย คำพูดเหล่านั้นมันจะไม่มาเยือนคุณอีกเลย

คิดดูสิ ว่าถ้าคุณเป็นเทพด้านภาษาอังกฤษ ใครจะกล้า? แต่ที่คนพวกนี้มันกล้า เพราะตอนนี้คุณยังไม่เก่งพอไงล่ะ อดทนไว้ วันนึงชัยชนะต้องเป็นของเรา



2. ทัศนคติแบบไทย

ความจริงแล้วภาษาอังกฤษนั้นยากมากนะ มีการใช้ภาษาในหลายระดับ และหลายรูปแบบ คนเรียนก็ต้องเลือกเรียนให้เหมาะกับตัวเอง บางคนอยากเรียนแค่พออ่านออกเขียนได้ บางคนอยากสื่อสารได้ บางคนอยากใช้ในเชิงธุรกิจ บางคนเรียนเพื่อสอบ มากมายหลายเหตุผล

แต่หลายครั้งในขณะที่เรากำลังมุ่งมั่นจะไปให้ถึงระดับสูง มันก็จะมีคนมาเบรค ว่าจะเรียนไปทำไมมากมาย ทุกวันนี้ก็พูดได้แล้วแล้ว (นิดนึง) จะเรียนให้ลึกลงไปทำไม ไม่ใช่ภาษาพ่อภาษาแม่ เอาแค่นี้ก็หรูแล้ว โอละพ่อ...  แล้วไม่คิดจะก้าวหน้าบ้างเลยหรือไร หรือไม่คิดว่าชาตินี้จะมีดีไปกว่าคนอื่นเขาเหรอ

คิดแบบนี้พากันลงเหวสถานเดียว ไม่ใช่แค่นี้นะ บางคนจะไปสมัครเรียนตามสถาบันต่างๆก็โดนเบรค ด้วยเหตุผลสุดคลาสสิค "จะไปเสียเงินเรียนแพงๆทำไม สาวบาร์ตามเมืองท่องเที่ยว จบแค่ประถมยังพูดเป็นเลย เก่งด้วย"

เอ๊า... แล้วบ้านตรูอยู่เมืองท่องเที่ยวมั้ยล่ะ ตรูต้องย้ายบ้านมั้ย?  หืม... แล้วที่บอกว่าเขาพูดเก่งนี่เคยฟังรึยัง ถ้าเคยฟังจะรู้เลยว่าแค่พูดได้ แต่ไม่ได้พูดเป็น หรือเก่ง ถ้าคนเก่งภาษาอังกฤษเค้าจะดูออกเลยว่ามันยังไม่ใช่ ไม่เชื่อลองไปสนทนาปัญหาโลกร้อนเป็นภาษาอังกฤษกับเขาดูสิ จะยังเหลือคนพูดเก่งสักกี่คน

หน้าที่ของเราคือ "เมินซะ" อีกละหรอ ฮ่าๆๆๆ บอกเค้าไปเลย เงินตรู เรื่องของตรู ตรูไปเรียนความสำเร็จก็เป็นของตรู เข้าใจนะ


3. ค่าเล่าเรียนในเมืองไทย

อนึ่ง ค่าเล่าเรียนภาษาอังกฤษในประเทศนี้ราคาสูงลิบ สวนทางกับค่าครองชีพ หลายๆคนประสบปัญหาอยากจะเรียนแต่ก็เรียนไม่ได้ เพราะค่าคอร์สเป็นหมื่นๆ แพงเหลือเกิน ทุกวันนี้ลำพังค่าใช้จ่ายส่วนตัวก็ต้องจำกัดจำเขี่ย บางคนก็เลือกไปลงเรียนกับสถาบันที่ราคาถูกหน่อย แต่ก็นั่นแหละ คุณภาพที่ดีมักจะมากับราคาที่สูง โรงเรียนถูกๆบางแห่งเรียนไป 3 คอร์สยังได้อะไรไม่เท่ากับเรียนโรงเรียนแพงๆแค่คอร์สเดียว

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าโรงเรียนแพงๆจะดีเสมอไปนะ แพงแล้วไม่ได้เรื่องก็มีถมไปเหมือนกัน ดังนั้นการจะเลือกสถาบันที่จะเรียนแต่ละครั้งต้องชั่งน้ำหนักให้มาก คิดให้รอบคอบ ถ้าสถาบันไหนมีระบบทดลองเรียน หรือมี open house ให้เราเข้าไปดูการเรียนการสอนก่อนได้ ก็จะดีมาก


4.  ขี้เกียจอย่างไทย

อันนี้เป็นอะไรที่ได้ยินเข้าหูบ่อยมาก หลายๆสถาบันเปิดสอนระบบคอร์สที่ให้เข้าเรียนตามตารางเวลาที่แน่นอน และมักจะกำหนดว่านักเรียนต้องเข้าเรียน 60% ของเวลาทั้งหมดจึงจะผ่าน หลายๆคนเห็นดังนั้นก็เลยมาเข้าเรียนแค่ 60-70% เอาแค่พอให้ครบ แต่คนติดธุระจริงๆก็ไม่ว่ากัน คนเรามันก็ต้องมีภาระบ้าง แต่บางคนไม่ใช่งัย ธุระสำคัญของเขาคือการไปดูหนังกับแฟน ไปต่อคิวกินข้าวร้านอาหารดัง พาหมาไปเดินเล่น ไปแว๊กซ์ขนขา บลาาๆๆๆ

ประเด็นคือจะบอกว่า หลายๆคนลงเรียนไปแล้ว แต่พวกเขากลับไม่คิดว่าการไปเรียนนั้นคือธุระที่เขาต้องทำในวันนั้นๆ เมื่อมีธุระอื่นเข้ามาแทรก ธุระอื่นๆที่ว่านั้นดูมันจะสำคัญไปเสียหมด ทำให้ต้องละทิ้งการเรียน


ทำไมเราไม่คิดกลับกันล่ะ สมมติว่าเราต้องเรียนทุกวันอังคาร กับวันพฤหัส ตอน 6 โมงเย็น เราก็กันเวลาไว้เลยว่าเนี่ยแหละ ธุระสำคัญของชั้น ต้องไปเรียน ถ้ามีใครมานัดเวลานี้ไม่ได้นะ ต้องเลื่อนไปเวลาอื่น เห็นมะ แค่นี้ก็ได้เรียนละ ไม่ยากเลย แต่มักจะไม่ทำกัน

ซ้ำร้าย สถาบันบางแห่งเปิดสอนระบบช่วยตัวเอง ให้เนักเรียนลงทะเบียนไว้ 30-120 ชม.  ให้เวลา 6 เดือน - 2 ปี ก็ว่ากันไป จะมาเรียนเมื่อไหร่ก็ได้ภายในกำหนด เวลาสุดแสนจะยืดหยุ่น แต่มันเป็นกับดักจิตใจเราทางอ้อม คนจำนวนมากสมัครเรียน แล้วไปเริ่มเรียนเอาท้ายๆตอนเวลาใกล้จะหมด มัวเอ้อระเหยลอยชาย กลับมาอีกทีตายละวา บางคนก็ทัน บางคนก็ไม่ทัน เวลาหมดก่อน เสียตังค์ฟรีซะอย่างงั้น

ทางแก้คือ "ดัดนิสัยตัวเอง" เสียตั้งแต่วันนี้ "คิดเสมอว่าการไปเรียคือหน้าที่ คือธุระสำคัญที่เราจะต้องทำ"


5.  เรียนแบบไทย

พวกเราคงเคยได้ยินได้อ่านเรื่องระบบการศึกษาของไทยที่เป็นปัญหามากมากแล้ว ดังนั้นวันนี้จึงขอพุ่งเป็นเด็นไปที่เรื่องการเรียนเพื่อสอบอย่างเดียวเท่านั้น ประเด็นอื่นก็ค่อยถกกันภายหลัง

เอาล่ะ อย่างที่เรารู้กันว่าสังคมไทยค่อนข้างให้ความสำคัญกับคะแนน ไม่ว่าจะเป็นการเรียนวิชาอะไรก็ตาม บางครั้งคะแนนที่สูงดูเหมือนจะเป็นตัวชี้วัดความสามารถของคนคนนั้น ซึ่งในคสามเป็นจริงแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป โดยเฉพาะเรื่องของภาษาซึ่งมีหลายทักษะ ทั้งฟัง พูด อ่าน เขียน หลายครั้งเราจะเห็นคนที่ได้คะแนนสอบภาษาอังกฤษสูง แต่กลับพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ หรือบางคนเก่งไวยากรณ์มาก แต่ก็พูดได้ไม่คล่อง เพราะมันคนละทักษะกัน

การจะพูดให้เก่ง ก็ต้องฝึกพูดให้มาก หลายๆคนมุ่งมั่นไปเรียนติว เก็งข้อสอบเพื่อให้ได้คะแนน TOEIC สูงๆ โดยให้เหตุผลว่ามันจะทำให้เค้าได้งานที่ดี แต่ลืมไปว่า เวลาได้งานแล้วก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษอย่างสมความสามารถ บางคนมีคะแนน TOEIC เกิน 650 แต่กลับใบ้กินให้ห้องสัมภาษณ์ คนสัมภาษณ์เค้าก็ดูออกนะว่าคุณเก่งจริงหรือไม่ ใบคะสวยหรูคะแนนที่ได้มาจะกลายเป็นกระดาษที่ไร้ค่าทันทีหากคุณไม่ได้มีความสามารถจริงตามผลคะแนน บางคนได้คะแนนสูงๆมาเพราะเก็งข้อสอบ บางคนร้ายกว่านั้นคือไปซื้อใบคะแนนปลอมมา

ถ้าคะแนนนั้นสวนทางกับความสามารถ คุณก็จะเป็นตัวตลกในห้องสัมภาษณ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันจะดีกว่ามั้ย หากคุณไปตั้งใจเรียนเพื่อให้สามารถใช้งานได้จริง ไม่ใช่เพื่อคะแนนไว้หลอกตัวเอง


จบเท่านี้ก่อนนะ ถ้าถูกใจกดแชร์ด้านล่างนี้ (ใคร copy บาทความไปกรุณาให้เครดิต ขอบคุณค่ะ)
   v
   v
   v
   v
   v

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น